อุบัติเหตุในโรงงานสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ โดยเฉพาะในระหว่างการปฏิบัติงาน เนื่องจาก พนักงานส่วนใหญ่จำเป็นต้องทำงานกับเครื่องจักร วัตถุดิบ หรือสารที่เป็นอันตรายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นในโรงงาน อาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บ หรือการเสียชีวิตได้ในที่สุด
ดังนั้น การรักษาความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม จึงกลายเป็นส่วนสำคัญที่นายจ้างต้องให้ความใส่ใจ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อร่างกาย ทรัพย์สิน เครื่องจักร หรืออุปกรณ์การทำงานต่าง ๆ ด้วยการตรวจสอบความปลอดภัยภายในโรงงานอยู่เป็นประจำ หมั่นจัดอบรมเรื่องความปลอดภัยให้แก่พนักงาน และเน้นย้ำให้พนักงานปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด
ในบทความนี้ Naradee ชวนผู้ประกอบการทุกท่านมาดูกันว่า มาตรฐาน Lock out Tag Out สำคัญต่อโรงงานอุตสาหกรรมอย่างไรบ้าง พร้อมกับแนะนำหลักการสร้างความปลอดภัยในโรงงาน เพื่อดูแลโรงงานให้ปลอดภัย ไร้อุบัติเหตุอันตราย หากพร้อมแล้ว เราไปดูกัน
การปฏิบัติงานกับเครื่องจักร ภายในโรงงานอุตสาหกรรม ผู้ประกอบการ และพนักงานต้องมั่นใจว่า อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่มีโอกาสที่จะกลับมาทำงานได้โดยไม่ตั้งใจ หรือมีกระแสไฟฟ้าซ่อนอยู่ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน ดังนั้น ผู้ประกอบการควรจัดระบบความปลอดภัยให้รัดกุม เพื่อรักษาชีวิตของพนักงาน และดูแลสินค้าให้คงคุณภาพดีอยู่เสมอ
อีกหนึ่งสาเหตุที่ผู้ประกอบการ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด มาจากพรบ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ.2554 ที่บัญญัติไว้ว่า “เจ้าของโรงงาน หรือนายจ้างต้องรับผิดชอบในเรื่องของความปลอดภัยด้านการปฏิบัติงาน โดยต้องจัดหาอุปกรณ์ป้องกันภัยทุกประเภทให้ครบถ้วน และพอเพียง”
ซึ่งหนึ่งในขั้นตอนที่ช่วยยกระดับความปลอดภัยให้กับโรงงาน คือ การเลือกใช้อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย Lock out Tag out หรือเรียกสั้น ๆ ว่า LOTO เป็นอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ที่ใช้ป้องกันไม่ให้มีการเปิดพลังงาน โดยไม่ตั้งใจขณะที่มีการปฏิบัติงานอยู่ พร้อมกับแสดงสถานะให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรับรู้ ในขณะที่ทำงานจนจบการทำงานอย่างปลอดภัย ซึ่งมีประโยชน์ทั้งทางตรง และทางอ้อมกับผู้ปฏิบัติงาน ดังนี้
หากโรงงานของคุณมีการจัดระบบความปลอดภัย และใช้อุปกรณ์เซฟตี้ Lock out Tag out จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง ภายในโรงงานอุตสาหกรรม (Major Hazard) เช่น การเกิดไฟไหม้ สารเคมีรั่วไหล เครื่องจักรขัดข้อง และเหตุโรงงานระเบิด เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเหตุที่อาจนำไปสู่วินาศภัย (Catastrophic)
โดยอุปกรณ์ LOTO จะทำการล็อคไม่ให้ใครเข้ามาเปิดวาล์วปล่อยพลังงาน ในระหว่างซ่อมบำรุง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายต่อผู้ปฏิบัติงาน ทำให้มั่นใจได้ว่าเครื่องจักร หรือแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้า จะไม่มีโอกาสกลับมาทำงานได้ โดยไม่ได้ตั้งใจ หรือมีกระแสไฟฟ้าค้างอยู่
การให้ความสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยในโรงงาน ถือเป็นหนึ่งในจุดที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะหากพนักงานรับรู้ว่าสถานที่ที่ปฏิบัติงานอยู่ มีระบบความปลอดภัยที่แน่นหนา ย่อมช่วยให้พนักงานรู้สึกสบายใจ และทำงานได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องไม่กังวลว่าจะเกิดเหตุร้ายขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว
ซึ่งการทำงานที่มีประสิทธิภาพ ล้วนมีส่วนช่วยให้สินค้าที่ถูกผลิตออกมามีคุณภาพดีเหมือนกันทุกชิ้น ส่งผลให้สินค้าที่ถูกส่งออกไป ตรงตามมาตรฐาน และตรงตามการควบคุมคุณภาพ (Quality Control หรือ QC) อย่างแน่นอน
นอกเหนือจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว การให้ความสำคัญกับระบบ Lock out Tag out ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศที่ดีในการทำงานอีกด้วย เพราะภาพรวมของโรงงานอุตสาหกรรมดูปลอดภัย และน่าปฏิบัติงานมากกว่าโรงงาน ที่ไม่มีมาตรการความปลอดภัยในการปฏิบัติงานที่เหมาะสม
เมื่อได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของระบบ Lock out Tag out ภายในโรงงานกันไปแล้ว คราวนี้ลองมาดูกันว่าหลักการสร้างความปลอดภัยที่ดี ต้องประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในโรงงาน และลดความเสี่ยงของอันตรายที่เกิดจากความผิดปกติของการทำงาน จะมีอะไรที่น่าสนใจบ้าง มาดูกัน
สิ่งแรกที่ควรคำนึงก่อนจัดการระบบความปลอดภัย คือ ประเมินความเสี่ยงตามจุดต่าง ๆ ในโรงงาน ด้วยตรวจสอบการทำงานเครื่องจักรทุกเครื่องอย่างละเอียด และสำรวจโครงสร้างอาคารให้เรียบร้อย เมื่อพบเครื่องจักรที่ชำรุด หรือบริเวณที่อาจเกิดอันตราย ควรรีบติดต่อช่างผู้เชี่ยวชาญ เพื่อการบำรุงรักษา และซ่อมแซมอุปกรณ์ในทันที
ทั้งนี้ หากตรวจพบว่าระบบความปลอดภัยในโรงงาน ยังไม่แน่นหนาพอ แนะนำปรับปรุงโรงงานอย่างเร่งด่วน พร้อมกับติดตั้งอุปกรณ์เซฟตี้ให้เรียบร้อย เพื่อยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยให้แน่นหนายิ่งขึ้น และเพิ่มความมั่นใจว่า หากเกิดการปลดปล่อยพลังงานไฟฟ้าอย่างไม่คาดคิด อุปกรณ์ที่นำมาติดตั้ง จะช่วยตัดแยกแหล่งพลังงานที่เป็นอันตรายได้ในทันที
พนักงานส่วนใหญ่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกับอุปกรณ์ หรือเครื่องจักรอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น การนำระบบ Lock out Tag out มาใช้ภายในโรงงาน ช่วยยกระดับความปลอดภัยในโรงงาน ทั้งยังลดโอกาสที่จะได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุได้อีกด้วย
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรเลือกอุปกรณ์เซฟตี้ที่ผ่านการรับรองมาตรฐาน OSHA (Occupational Safety and Health Administration: OSHA) ของสำนักงานบริหารความปลอดภัย และอาชีวอนามัยแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา รวมถึงกำชับให้พนักงานทุกคน ปฏิบัติตามมาตรฐานระบบ Lockout Tagout เพื่อป้องกันไม่ให้มีการเปิดพลังงานโดยไม่ตั้งใจ หรือเกิดกระแสไฟฟ้ารั่วไหล
หนึ่งในจุดที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม คือ การตรวจสอบกลไกการป้องกันของเครื่องจักร และเช็กประสิทธิภาพการใช้งานอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเครื่องจักรชำรุด ซึ่งการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องจักรอย่างเป็นประจำ จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย หรือเกิดการบาดเจ็บในสถานที่ทำงานได้เป็นอย่างดี
ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุขึ้น ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีอุปกรณ์ หรือเครื่องจักรชิ้นไหนกีดขวางทางออกฉุกเฉิน เพราะสภาพแวดล้อมที่รกเกะกะ อาจทำให้พนักงาน หรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย มีพื้นที่ไม่เพียงพอในการใช้เครื่องมือป้องกัน และจัดการอุบัติเหตุฉุกเฉินได้ ทั้งยังหลบหนีจากอาคารได้ช้า และเกิดอาการบาดเจ็บมากกว่าที่ควรจะเป็น
แม้ว่าในโรงงานอุตสาหกรรมจะมีอุปกรณ์เซฟตี้ และเครื่องมืออุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างครบครัน แต่หากเลือกใช้อุปกรณ์ที่ไม่ผ่านการรับรองมาตรฐานที่เหมาะสม หรือสั่งซื้ออุปกรณ์รักษาความปลอดภัยในยี่ห้อที่ไม่มีคุณภาพ อาจเกิดการชำรุด และมีระยะการใช้งานที่ต่ำกว่าปกติ
อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์รักษาความปลอดภัย ก่อนติดตั้งในโรงงาน
เนื่องด้วย การรักษาความปลอดภัยในโรงงานอุตสาหกรรม มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องจัดการฝึกอบรมเกี่ยวกับการทำงานของระบบ Lock out Tag out ให้แก่พนักงานอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อให้มั่นใจว่าบุคลากรจะมีความรู้ เกี่ยวกับการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุในโรงงาน
ซึ่งการที่พนักงานได้รับการฝึกอบรม ให้ปฏิบัติตามระเบียบการด้านความปลอดภัยเป็นประจำ จะช่วยลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุ และการบาดเจ็บในสถานที่ทำงานได้ ทั้งยังช่วยกันสอดส่อง และเป็นหูเป็นตาเมื่อพบความไม่ชอบมาพากลในโรงงานได้อีกด้วย
หนึ่งในสิ่งสำคัญที่ช่วยปกป้องชีวิตของพนักงานให้ปลอดภัย จากเหตุอันตรายที่เกิดขึ้นในโรงงาน คงจะหนีไม่พ้นอุปกรณ์เซฟตี้ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันอันตราย และลดอาการบาดเจ็บจากหนักให้เป็นเบา ทั้งยังช่วยการันตีได้ว่า โรงงานของคุณปฏิบัติตามกฎหมาย และมาตรฐานด้านความปลอดภัยในที่ทำงานอย่างเคร่งครัด
สำหรับเจ้าของโรงงานที่อยากอัปเกรดอุปกรณ์เซฟตี้ให้ทันสมัย และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น เราขอแนะนำอุปกรณ์เซฟตี้ Lockout Tagout Solutions by Master Lock (OSHA Compliant) ตอบโจทย์ทุกอุตสาหกรรม และครบครันทุกขั้นตอนสำคัญในการป้องกันอันตราย ซึ่งอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ Naradee จะมาแนะนำให้กับผู้ประกอบการ มีดังนี้
กุญแจคล้องเซฟตี้ รุ่น Master Lock 406 ตัวฐานทำจากวัสดุผสม Zenex™เป็นแม่กุญแจคล้องที่ไม่นำไฟฟ้า ไม่เกิดประกายไฟ ทั้งยังทนต่อการกัดกร่อน ทนต่อสารเคมี และทนต่ออุณหภูมิตั้งแต่ -40 °C ถึง +90 °C จึงเหมาะสำหรับการใช้งานในสภาพบรรยากาศที่ติดไฟ หรือระเบิดได้
นอกจากนี้ แม่กุญแจคล้องเซฟตี้รุ่นดังกล่าว สามารถแกะสลักด้านข้าง และด้านหน้าของตัวฐานด้วยเลเซอร์ได้ เพื่อการระบุตัวตนแบบถาวร มั่นใจได้ว่าปลอดภัยสำหรับการใช้งานในโรงงานอุตสาหกรรม ด้วยป้ายข้อมูลติดแม่กุญแจคล้องอย่างชัดเจนว่า “Danger (อันตราย)” และ “Property of (ทรัพย์สินของ)”
สำหรับผู้ที่ต้องการอุปกรณ์เซฟตี้ ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยทางไฟฟ้า ขอแนะนำอุปกรณ์ล็อคเซอร์กิตเบรกเกอร์ รุ่น Master Lock 493B ตัวฐานทำจากเหล็กกล้าชุบแข็ง ใช้งานง่ายเพียงแค่ติดตั้งเข้ากับก้านโยกของเบรกเกอร์ เหมาะกับการใช้งานในพื้นที่อันตราย รวมถึงสภาพบรรยากาศที่ติดไฟ หรือระเบิดได้
อุปกรณ์ล็อควาล์ว รุ่น Master Lock 482 ตอบโจทย์การใช้งานในพื้นที่อันตรายอย่างยิ่ง เนื่องด้วย ตัวฐานทำจากวัสดุผสม Zenex™ทำให้ทนทานต่อสารเคมี และสภาวะแวดล้อมที่รุนแรง ในอุณหภูมิตั้งแต่ -57 °C ถึง +177 °C
นอกจากนี้ ยังสามารถถอดส่วนตรงกลางออกได้ เพื่อปรับให้เข้ากับก้านของวาล์วน้ำที่อาจยื่นออกมา และรองรับกุญแจคล้องได้สูงสุด 4 ตัว โดยตัวล็อควาล์วใช้วิธีการหมุนปิด ช่วยให้ติดตั้งได้ง่าย แม้ในพื้นที่คับแคบ
ป้ายเตือน รุ่น Master Lock 497A ทำจากโพลีเอสเตอร์ลามิเนต ที่ทนทานต่อน้ำมัน จาระบี และสภาวะอุณหภูมิสุดขั้วได้ดี จึงปลอดภัยสำหรับการใช้งานในพื้นที่อันตราย บนป้ายมีข้อความ “ห้ามใช้งาน” ให้เห็นอย่างชัดเจน เพื่อป้องกันไม่ให้พนักงานเข้าถึงอุปกรณ์อื่น ๆ โดยพลการ
ในส่วนของสถานีจัดเก็บอุปกรณ์ชนิดติดผนัง รุ่น Master Lock 1484B ตัววัสดุทำจากโพลีคาร์บอเนต ช่วยเพิ่มความสามารถในการทนความร้อนได้ถึง 2 เท่า ทั้งยังทนทานมากกว่าสถานีจัดเก็บทั่วไปถึง 4 เท่า และสามารถเก็บกุญแจได้สูงสุด 20 ตัว โดยสถานีจัดเก็บอุปกรณ์รุ่นนี้ สามารถใช้กุญแจคล้องแบบรหัส เพื่อล็อคสถานีจัดเก็บแม่กุญแจคล้องได้อีกด้วย
กล่องเครื่องมือพร้อมชุดอุปกรณ์ล็อค รุ่น Master Lock 1457E410KA เป็นชุดอุปกรณ์มาตรฐาน ที่พนักงานแต่ละคนควรมี โดยความพิเศษของกล่องเก็บอุปกรณ์รุ่นนี้ มาพร้อมกับกุญแจคล้องเซฟตี้ กุญแจคล้องสวิตซ์เซอร์กิตเบรกเกอร์ สายยูสำหรับกุญแจล็อค ล็อคเซอร์กิตเบรกเกอร์ อุปกรณ์ล็อคสวิตซ์ติดผนัง และป้ายเตือนการล็อคเคลือบลามิเนต
ทั้งหมดนี้คือ คำตอบที่ว่าทำไมโรงงาน ถึงควรให้ความสำคัญกับระบบ Lock out Tag out โดยจะเห็นได้ว่าอุปกรณ์แต่ละชนิด ล้วนช่วยยกระดับให้โรงงานมีน่าเชื่อถือ ทั้งต่อคนในองค์กร และลูกค้าที่ต้องการสั่งผลิตสินค้า ซึ่งการนำระบบ Lock out Tag out มาใช้ในโรงงาน ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างมาก